SHARES:
ที่ผ่านมา.. ผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) โดยกระแสและแนวคิดในการตระหนักถึงปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องการปล่อยมลพิษก็เพิ่มมากขึ้นตามมา

 

โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน ไม่ว่าจะฝุ่น PM 2.5 ปัญหาน้ำท่วม หรือปัญหาไฟป่า รวมถึงปัญหาอื่นๆ ที่ผู้ประสบพบเจอ

ในโลกทุนนิยม การทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการ ต้องมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงได้นำมาสู่การสร้างนโยบายหรือวางแผนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน หรือลดการปล่อยมลพิษ เพื่อเป้าหมายในการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่หลายๆ ธุรกิจหันมาให้ความสนใจกับเรื่องนี้ แต่ก็มีธุรกิจไม่น้อยเช่นกัน ที่ทำอย่างฉาบฉวย ทำการตลาดสีเขียวแบบปลอมๆ หรือที่รู้จักกันในนาม “Greenwashing” 

Greenwashing หรือการฟอกเขียวธุรกิจคืออะไร?

Greenwashing หรือการฟอกเขียวเป็นโมเดลการตลาดรูปแบบเดียวกับ Rainbow Washing ซึ่งอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า เป็นการตลาดประเภทหนึ่งที่ใช้ “ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เพื่อโน้มน้าวใจลูกค้าว่าการซื้อสินค้าของแบรนด์จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงการตลาดรูปแบบนี้เป็นเพียงการทำเพื่อภาพลักษณ์เท่านั้น ไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาหรือรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างตรงจุด

ทำไมแบรนด์ถึงไม่ควรทำการตลาดฟอกเขียว?

ทำให้เบี่ยงเบนความสนใจของลูกค้า : การที่ลูกค้าเชื่อว่าแบรนด์มีการตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และแบรนด์กำลังแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง ซึ่ง Greenwashing อาจไม่ได้แก้ปัญหาจริงๆ ทำให้ลูกค้าไม่ได้สนับสนุนแบรนด์ที่ตั้งใจลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

เป็นการโฆษณาหรือทำการตลาดที่บิดเบือน : อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าการตลาดรูปแบบนี้เป็นเพียงการทำเพื่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งมีการบิดเบือนหรือรายงานข้อมูลที่เกินจริง เช่น การรายงานผลด้านความยั่งยืนของบริษัทเกี่ยวกับแคมเปญสิ่งแวดล้อม การกระทำเหล่านี้จึงเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของแบรนด์

เป็นการแก้ปัญหาแบบฉาบฉวย : ความพยายามเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมถือเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งแบรนด์มองเพียงมุมมองเดียวโดยไม่ได้สนใจปัญหาอื่นๆ ที่ตามมา เช่น การเปลี่ยนจากหลอดพลาสติกเป็นหลอดกระดาษเพื่อให้รีไซเคิลได้ แต่ในกระบวนการผลิตหลอดกระดาษยังคงมีขั้นตอนที่นับว่าเป็นการทำลายป่าอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม การทำการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งทั่วไปที่แบรนด์ควรทำ ไม่เพียงแต่การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เรียบง่าย การเลือกใช้สีเขียวบนบรรจุภัณฑ์ หรือการระบุบนฉลากว่า “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” 

แล้วแบรนด์ควรทำอย่างไร? เพื่อแสดงจุดยืนในการทำการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ไม่เป็นเพียงการฟอกเขียวธุรกิจ หรือรักษ์โลกตามกระแส

ระบุข้อมูลส่วนรักษ์โลกที่ชัดเจน : การทำเพื่อสิ่งแวดล้อมต้องสามารถระบุข้อมูลทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เช่น วัสดุผลิตจากธรรมชาติกี่เปอร์เซนต์ มีการลดการปล่อยคาร์บอนกี่กิโลกรัมต่อปีจากกระบวนการผลิตทั้งหมด เป็นต้น

มีใบรับรองจากองค์กรที่เชื่อถือได้ : การมีใบรับรองจากองค์กรจะเป็นตัวช่วยพิสูจน์ได้ ว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ไม่ได้เป็นการฟอกเขียวแบรนด์อย่างแน่นอน เช่น Green Seal ที่ครอบคลุมทั้งสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, สัญลักษณ์ Marine Stewardship Council สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเล, สัญลักษณ์ EnergyStar สำหรับการประหยัดพลังงาน เป็นต้น

ทำการตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : การตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องมีการทำตามข้อปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ไร้สารพิษหรือสารทำลายชั้นบรรยากาศโลก, ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลหรือสามารถนำไปรีไซเคิลซ้ำได้, ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ซ่อมแซมได้แทนการใช้แล้วทิ้ง เป็นต้น 

ปัจจุบันมีหลายบริษัทพยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อมโดยการมีส่วนร่วม และมอบเงินสนับสนุนองค์กรหรือกิจกรรมที่ “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นเพียงการสนับสนุนโครงการ แต่ไม่ได้มีนโยบายอื่นๆ เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของตัวเอง

สุดท้ายแล้ว การที่แบรนด์เปิดเผยอย่างโปร่งใส มีความจริงใจ และสื่อสารได้อย่างชัดเจนถึงเส้นทาง
การตลาดตามแนวคิดเรื่องความยั่งยืน ย่อมเป็นทางออกที่ดีกว่าการบอกเล่าด้วยการโฆษณาอย่างเดียว เพราะไม่เพียงแต่เป็นการหลอกหลวงลูกค้า แต่อาจเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าเดิมได้ 


✓ The right insight at your fingertips.

—————

“InsightEra” ผู้ให้บริการ MarTech แบบครบวงจร

สนใจหรือสอบถามเพิ่มเติม
https://www.insightera.co.th/contact-us/
Email : [email protected]